วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"ข้าวหลามบ้านท่าศิลา"




(31 สิงหาคม 2559) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธศักดิ์ ฮมแสน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ คณะวิทยาการจัดการ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙ กิจกรรม “ของดี บ้านฉัน” ครั้งที่ 2 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารฝึกประสบกาณณ์วิชาชีพล้านช้าง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญและเสริมสร้างทักษะการถ่ายทอดความคิดทางธุรกิจของนักศึกษาผ่านการนำเสนอผลงานด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ 

โดยมีคุณอรุณรัตน์ ชิงชนะ นักพัฒนาชุมชนชำนาญการ, คุณวรรณทิตย์ กิจดี นักวัฒนธรรมชำนาญการ และดร.ศิริรักษ์ ฟอสเตอร์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและพัฒนาธุรกิจ SME มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ เป็นคณะกรรมการในการตัดสินการประกวด


สวัสดีค่ะ กลุ่มของเราก้อได้นำ ข้าวหลามบ้านท่าศิลามาประกวดในงาน "ของดีบ้านฉัน" ซึ่งได้รับรางวัล ชมเชยด้วยนะคะ มาดูรายละเอียดผลงานกันเลยค่ะ










ประวัติความเป็นมา/รายละเอียดผลงาน

"ข้าวหลามบ้านท่าศิลา อ.ท่าตูม จังหวัดสุรินทร์" อันโดดเด่นซึ่งถือเป็นสินค้าของฝากติดมือขึ้นชื่อนักกินหลายๆ คนต่างยกให้ข้าวหลามบ้านท่าศิลา เป็นหนึ่งในข้าวหลามในดวงใจที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อยเมื่อนั้น มาวันนี้ข้าวหลามท่าศิลาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช้านานก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งรูปรสกลิ่นที่ชวนกินอยู่ไม่เสื่อมคลาย





เริ่มมาเป็นข้าวหลามท่าศิลา

กว่าที่ข้าวหลามท่าศิลาจะโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวนั้น แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านท่าศิลามีอาชีพทำนา เมื่อหมดหน้านาก็จะทำข้าวหลามเป็นของหวานกินกันตามอัตภาพ โดยจะนำข้าวเหนียวไปแลกกับน้ำตาลและมะพร้าวจากหมู่บ้านอื่น ส่วนไม้ไผ่ป่าก็หาตัดกันเองบนเขาบ่อยาง


ในแต่ละวันข้าวหลามท่าศิลาจะมีผู้แวะเวียนมาซื้อกลับไปเป็นจำนวนมาก เมื่อมีงานประจำปีที่ศาลเจ้าหลังท่าศิลา จึงเกิดมีการค้าขายขึ้น พ่อค้าแม่ค้าส่วนจะขายข้าวหลาม ควบไปกับการขายอ้อยควั่นและถั่วคั่ว โดยในยุคนั้นมีขายกันเพียงไม่กี่เจ้า จนเมื่อมีการตัดถนนผัทมานนท์ ทำให้มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาเที่ยวบางแสนมากขึ้น เกิดร้านค้ามากมายเรียงยาวตามเส้นทางสายปัทมานนท์ ต.ท่าศิลา จ.สุรินทร์ ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะลงไปซื้อข้าวหลามติดไม้ติดมือกลับบ้าน ซึ่งปัจจุบันข้าวหลามท่าศิลาผ่านยุคผ่านสมัยมาเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว











เผาข้าวหลามแบบบ้านท่าศิลา

ในส่วนของการเผาข้าวหลามนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นกัน ณัฐธิดาได้อธิบายถึงวิธีการทำข้าวหลามทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ว่า


"วิธีทำข้าวหลามนั้นเริ่มจากการแช่ข้าวเหนียว และถั่วดำไว้ก่อน เมื่อแช่ข้าวเหนียวได้ที่แล้วนำไปต้มให้สุก จากนั้นนำข้าวเหนียวสุกใส่กะทิที่ผสมเกลือกับน้ำตาลไว้แล้ว คลุกให้เข้ากัน นำไปใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการเผา ซึ่งการเผาข้าวหลามที่หนองมน มี 2 วิธี คือ การเผาข้าวหลามแบบฟืน และแบบเตาแก๊ส



กรรมวิธีการเผาข้าวหลามแบบโบราณที่ใช้ฟื้น กาบมะพร้าว และเศษไม้ไผ่


"การเผาข้าวหลามแบบฟืนเป็นการเผาข้าวหลาม แบบดั้งเดิม ที่ต้องวางเรียงข้าวหลามบนพื้นดินเป็นแถวยาว ใช้กาบมะพร้าว ฟืน และเศษไม้ไผ่ที่เหลือจากการทำกระบอกข้าวหลามมาสุม คนเผาต้องใช้แรงและพลังงานเยอะในการเผา ซึ่งกว่าจะได้ข้าวหลามมา ต้องใช้เวลาเผานานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งยังต้องล้างเก็บ ทำให้ยากลำบาก คนทำข้าวหลามในปัจจุบันจึงเปลี่ยนจากการเผาข้าวหลามแบบโบราณมาใช้เตาเผาแทน"

แรงบันดาลใจในการสร้างสรรผลงาน


ชาวบ้านเห็นว่าขายดี มีชื่อเสียง และวัตถุดิบมีเพียงพอในการผลิต จึงทำให้ชาวบ้านได้มีการทำข้าวหลามมากขึ้นและมีการวางขายมาจนถึงทุกวันนี้








แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่การเป็นผุ้ประกอบการ
เราเลือกจะแปรรูปข้าวหลามมาบรรจุภัณฑ์กระป๋อง เพราะเหนว่าข้าวหลามในท้องตลาดมีปัญหาคือ พกพาลำบาก กินยาก เลอะมือและมีอายุสั้นไม่เกิน1เดือนจึงไม่เหมาะที่นักท่องเที่ยวจะซื้อกลับไปเป้นของฝาก เราจึงพัฒนาแปรูปไปบรรจุกระป๋อง  โดยมีเป้าหมายเพื่อการส่งออก สะดวกต่อการชนส่งเหมาะเปนสินค้าที่ระลึกของชาติ






ซึ่งทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดครั้งนี้ ได้แก่ ทีมขแมร์พาเพลิน จากสาขาวิชานิเทศศาสตร์ ชื่อผลงาน “ขแมร์ เสราะยืง” ภายใต้การนำเสนอธุรกิจโฮมสเตย์ 
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 ได้แก่ทีมสีดา จากสาขาวิชาการตลาด ชื่อผลงาน “ผ้าไหมมัดหมี่บ้านตากูย” รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 ได้แก่ทีมเด็กเสด-สาด เหลา ชื่อผลงาน “เจรียง เปิดกรุพื้นบ้าน สืบสานตำนานสุรินทร์” และรางวัลชมเชย 3 รางวัลได้แก่ “ผักพายน้อย” จากทีมกะทิสด สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ, “ข้าวหลามบ้านท่าศิลา” จากทีมอาหารพื้นบ้าน สาขาวิชาการตลาด และ “นิเทศกันตรึมศิลป์” จากทีมนิเทศอนาล็อก สาขาวิชานิเทศศาสตร์.

วันวิทยาศาสตร์

    
 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2559 ณ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จรูญ ถาวรจักร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด "จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม" 

โดยนักศึกษาสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดซุ้มกิจกรรมให้ความรู้มากมายแก่นักศึกษาและนักเรียนจากต่างอำเภอที่มาร่วมชมงานในครั้งนี้ อาทิ กิจกรรมให้ความรู้ทางด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เทคโนโลยีต่าง ๆ

                    รวมถึงการแข่งขันทางด้านคณิตศาสตร์ ด้านเคมี และการแข่งขันทำอาหารจากดักแด้
       สำหรับกิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 18 สิงหาคม 2559 ณ อาคาร 29 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

ผ้าไหมสุุรินทร์



ผ้าไหมสุรินทร์      
ประวัติความเป็นมา
                   จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าไหมมานานและได้สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมมานานจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่น่สนใจยิ่ง  หากศึกษาอย่างลึกซึ่งแล้ว  จะค้นพบเหตุผลหลายประการที่สนับสนุนว่า  จังหวัดสุรินทร์มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองในเรื่องผ้าไหม  ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ   ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการทอ  ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของผ้าไหม  การผลิตเส้นไหมน้อย  และกรรมวิธีการทอ


 จังหวัดสุรินทร์นิยมนำเส้นไหมขั้นหนึ่งหรือไหมน้อย (ภาษาเขมร เรียก “โซกซัก”)  มาใช้ในการทอผ้า  ไหมน้อยจะมีลักษณะเป็นผ้าไหมเส้นเล็ก  เรียบ  นิ่ม  เวลาสวมใส่จะรู้สึกเย็นสบาย  นอกจากนี้การทอผ้าไหมของจังหวัดสุรินทร์  ยังมีกรรมวิธีการทอที่สลับซับซ้อน  และเป็นกรรมวิธีที่ยาก  ซึ่งต้องใช้ความสามารถและความชำนาญจริง  เช่น การทอผ้ามัดหมี่พร้อมยกดอกไปในตัว  ซึ่งทำให้ผ้าไหมที่ได้เป็นผ้าเนื้อแน่นมีคุณค่า  มีการทอที่เดียวใบประเทศไทย  จนเป็นที่สนพระทัยและเป็นที่ชื่นชอบของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ  ทรงรับสั่งว่า  ใส่แล้วเย็นสบาย  อีกทั้งยังใช้ฝีมือในการทออีกด้วย

           ลักษณะเด่นของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์
                           1.     มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์  โดยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากกัมพูชา และลวดลายที่บรรจงประดิษฐ์ขึ้นล้วนมีที่มาและมีความหมายอันเป็นมงคล  
                           2.     นิยมใช้ไหมน้อยในการทอ  ซึ่งไหมน้อยคือไหมที่สาวมาจากเส้นใยภายในรังไหม  มีลักษณะนุ่ม  เรียบ  เงางาม
                           3.     นิยมใช้สีธรรมชาติในการทอ  ทำให้มีสีไม่ฉูดฉาด มีสีสันที่มีลักษณะเฉพาะ  คือ สีจะออกโทนสีขรึม  เช่น  น้ำตาล  แดง  เขียว  ดำ  เหลือง   อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจากเปลือกไม้ 
4.           ฝีมือการทอ  จะทอแน่นมีความละเอียดอ่อนในการทอและประณีต  รู้จักผสมผสานลวดลายต่าง ๆ
เข้าด้วยกัน  แสดงถึงศิลปที่สวยงามกว่าปกติ
5.        แต่เดิมนั้นการทอผ้าไหมของชาวบ้านทำเพื่อไว้ใช้เอง และสวมใส่ในงานทำบุญและงานพิธีต่างๆ 
การทอจะทำหลังจากสิ้นสุดฤดูกาลทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลัก  มิได้มีการทอเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด  จนมีคำกล่าวทั่วไปว่า “พอหมดหน้านา  ผู้หญิงทอผ้า  ผู้ชายตีเหล็ก”       

เอกสารอ้างอิง   หนังสือ “ของดีเมืองสุรินทร์ ผ้าไหม-เครื่องเงิน”  โดย ผศ.เครือจิต  ศรีบุญนาค 

   ผศ.อารีย์  ทองแก้ว  และนางสุปิยา  ลิมป์กฤตนุวัตร์ พ.ศ. 2539




ผ้าไหมมัดหมี่                

                   1.     มัดหมี่โฮล หรือ จองโฮล (จองเป็นภาษาเขมร หมายถึง ผูกหรือมัด) หรือ ซัมป็วตโฮล เป็นหนึ่งในผ้าไหมมัดหมี่ของเมืองสุรินทร์ มัดหมี่แม่ลายโฮล ถือเป็นแม่ลายหลักของผ้ามัดหมี่สุรินทร์ที่มีกรรมวิธีการมัดย้อมด้วยวิธีเฉพาะ ไม่เหมือนที่ใดๆ  ความโดดเด่นของการมัดย้อมแบบจองโฮล คือในการมัดย้อมแบบเดียวนี้ สามารถทอได้ 2 ลาย คือ โฮลผู้หญิง (โฮลแสร็ย) หรือผ้าโฮลธรรมดา และสามารถทอเป็นผ้าโฮลผู้ชาย (โฮลเปราะฮ์) ไว้นุ่งในงานพิธีต่างๆ

ผ้าโฮล  ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทผ้าไหม ในงาน “มหกรรมผ้าไทย เทิดไท้องค์ราชินี” เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2545  ณ  ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ กรุงเทพฯ  ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย 

                   2.     มัดหมี่อัมปรม หรือ จองกรา  เป็นการมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน  ซึ่งมีปรากฏที่จังหวัดสุรินทร์แห่งเดียวในประเทศไทย  การมัดหมี่อัมปรมนี้จะทอให้ส่วนที่มัดเป็น “กราปะ” คือ จุดปะขาวของเส้นยืน มาชนกับจุดปะขาวของเส้นพุ่ง ให้เป็นเครื่องหมายบวกบนสีพื้น  เช่น การทอบนพื้นสีแดงซึ่งย้อมด้วยครั่ง ก็เรียกว่า อัมปรมครั่ง  การทอบนพื้นสีม่วง ก็เรียกว่า อัมปรมปะกากะออม
                   จังหวัดสุรินทร์ได้ตัดเสื้อผ้าไหมมัดหมี่อัมปรมให้คณะรัฐมนตรีในการเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่  ณ  จังหวัดสุรินทร์  เมื่อวันที่ 10 - 11  พฤศจิกายน  2544




.   มัดหมี่ลายต่างๆ หรือ จองซิน  เป็นมัดหมี่ที่เหมือนจังหวัดอื่นๆ ทั่วๆ ไป มีหลายลาย แบ่งได้ดังนี้


                           3.1   มัดหมี่ลายธรรมดา  เช่น ลายหมี่ข้อ  หมี่คั่น  หมี่โคม  ซึ่งจะพบมากที่ บ้านจารพัต อำเภอศีขรภูมิ บ้านสดอ บ้านนาโพธิ์ บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์  บ้านสวาย บ้านนาแห้ว ตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์
3.2   มัดหมี่ลายกนก  เช่น ลายพุ่มข้าวบิณฑ์  ลายสับปะรด  ลายพระตะบอง  ลายก้านแย่ง ลาย พนมเปญ  ลายดอกมะเขือ  ส่วนมากจะพบที่ บ้านสวาย ตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์  บ้านอู่โลก ตำบลอู่โลก อำเภอลำดวน

3.3   มัดหมี่ลายรูปสัตว์ ต้นไม้ และลายผสมอื่นๆ  เช่น รูปนก ไก่ ผีเสื้อ ช้าง ม้า นกยูง  ปลาหมึก พญานาค นำมาผสมกับลายต้นไม้ดอกไม้ต่างๆ  หรือทอลายสัตว์เดี่ยวๆ  ตลอดผืน พบมากเกือบทุกหมู่บ้าน


                   ผ้ายกดอกลายดอกพิกุล หรือ ปกาปกุน  ผ้ายกดอกลายนี้จะย้อมเส้นด้ายยืนสีเดียวและอาจใช้สีอื่นคั่นระหว่างดอกก็ได้ การเก็บตะกอ 4 ตะกอ โดยการทอลายขัดเป็นพื้น 2 ตะกอ  ส่วนอีก 2 ตะกอเป็นลวดลายการทอลายนี้จะทอทีละตะกอ จะพบที่บ้านเขวาสินรินทร์เป็นส่วนใหญ่ 
ผ้าไหมยกดอก

เป็นผ้าไหมที่มีการทอที่เพิ่มลวดลายเข้าไปในเนื้อผ้า  เพื่อทำให้ผ้าทั้งสองด้านมีลวดลายต่างกัน  ด้านหนึ่งจะมีลวดลายคมชัดและเรียบ  ส่วนอีกด้านหนึ่งจะมีลวดลายหยาบ  มีเส้นด้ายข้ามซึ่งถูกเกาะเกี่ยวได้ง่าย  การทอผ้าประเภทนี้จะต้องใช้เส้นไหมมากกว่าธรรมดา  ทำให้ดูหนาและหนัก  การทอผ้ายกดอกของจังหวัดสุรินทร์  แบ่งเป็น 4 ลายดังนี้



                    3.1   ผ้ายกดอกลายลูกแก้ว (ชะโน้ดเลิค, ฉนูดเลิก)  การทอผ้าลายนี้จะใช้  4 ตะกอ  เป็นตัว กำหนดลาย  โดยไม่มีการแยกตะกอสำหรับทอลายขัดเพื่อเป็นพื้นของผ้า  ซึ่งการทอแบบนี้เรียกว่า ลายสองยกดอก คือ การทอผ้าลายสองแบบแนวทแยง  มีจุดกลับโดยยกตะกอย้อนกลับ  การออกแบบลายลูกแก้วจะออกแบบเส้นด้ายยืนย้อมสีเดียว แล้วเก็บตะกอ 4 ตะกอ ตามลวดลายที่กำหนดไว้ เส้นด้ายพุ่งจะย้อมสีเดียวกับเส้นด้ายยืน   ผ้าชนิดนี้มีการทอมากที่บ้านสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์
                    3.2   ผ้าลายยกดอกลายละเบิก  ผ้าลายนี้นิยมย้อมเส้นด้ายยืนเป็นสีม่วง สีส้ม สีเขียว สีเหลือง  และสีขาว  การทอจะทอยกตะกอครั้งละ 2 ตะกอ คือ ตะกอที่ 1 - 2 และตะกอที่ 3 - 4  เพื่อทอเป็นพื้น  ส่วนลวดลายเกิดจากการแยกตะกอ 2 - 3 ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเส้นด้ายยืนสีเหลืองและสีขาว  การทอผ้าลายนี้จะพบเห็นทั่วไปในทุกหมู่บ้าน

                  3.3   ผ้ายกดอกลายดอกจัน  เป็นผ้าทอที่มีลวดลายละเอียด ประณีต การทอผ้ายกดอกลายนี้   จะออกแบบเส้นด้ายยืนสีเดียว  ส่วนเส้นด้านพุ่งจะย้อม 2 สี  จะเป็นสีอ่อน แก่ ตามต้องการ  การทอผ้าลายนี้จะเก็บตะกอของลวดลาย 7 ตะกอ ส่วนตะกอที่ 8 และ 9  เป็นการเก็บลายขัดธรรมดา เพื่อทอเป็นพื้นของผ้า  จะพบมากที่บ้านเขวาสินรินทร์

3.4           ผ้ายกดอกลายดอกพิกุล หรือ ปกาปกุน  ผ้ายกดอกลายนี้จะย้อมเส้นด้ายยืนสีเดียวและอาจใช้สีอื่นคั่นระหว่างดอกก็ได้ การเก็บตะกอ 4 ตะกอ โดยการทอลายขัดเป็นพื้น 2 ตะกอ  ส่วนอีก 2 ตะกอเป็นลวดลายการทอลายนี้จะทอทีละตะกอ จะพบที่บ้านเขวาสินรินทร์เป็นส่วนใหญ่        

                    4.   ผ้าจกลายปะเต๊าะ
                   เป็นผ้าทอเป็นดอกห่าง ๆ  ปะปรายทั่วไปบนผืนผ้า  ผ้าลายปะเต๊าะ (หรือนานๆ ดอก) จะใช้เส้นพุ่งหรือเส้นยืน สีเดียวกัน มีการจกดอกห่าง ๆ  ระยะระหว่างดอกเท่ากัน กระจายทั่วผืนผ้า  จะพบมากที่บ้านเขวา สินรินทร์

                   5.   ผ้าไหมพื้นเรียบ
                   เป็นผ้าไหมที่ไม่มีการมัดย้อม หรือทำลวดลาย  การทอจะใช้สีเดียวหรือ 2 สี ก็ได้ เส้นด้ายพุ่ง 1 สี เส้นด้ายยืน 1 สี เพื่อให้เกิดความวาว  การใช้เส้นพุ่งอาจจะใช้ 1 เส้น 2 หรือ 3 เส้น ก็ได้ เพื่อให้เกิดความหนา ตามความนิยม

                   6.   ผ้าไหมหา

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ธุรกิจมวยไทย การตลาด และE-Commerce เกี่ยวข้องกันอย่างไร

                      


  มวยไทย มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่าอยู่คู่ชาวไทยมาทุกยุคทุกสมัยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อใช้สยบข้าศึกในการสงครามและป้องกันอาณาจักรมาตั้งแต่ก่อนยุคกรุงสุโขทัย มวยไทยเป็นภูมิปัญญาทางด้านการต่อสู้ได้รับการสืบทอดจากบรรพชนไทย มีการดัดแปลงและพลิกแพลงในการใช้อวัยวะทุกส่วน เช่น มือ , เท้า , เข่า, ศอก และศีรษะเพื่อเข้าต่อสู้ป้องกันส่วนที่อ่อนแอของร่างกาย เป็นการต่อสู้ที่ครบเครื่องมีพิษสงรอบด้าน ทำให้เกิดการถ่ายทอดและมีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เป็นที่นิยมไปทั่วโลก มวยไทยเป็นศิลปะที่มีรูปแบบเฉพาะตัว เช่นเดียวกับศิลปะการต่อสู้ด้านอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับนักรบไทยและเป็นที่นิยมตั้งแต่ระดับสามัญชนไปจนถึงสถาบันกษัตริย์มาทุกสมัย



การตลาด คือกระบวนการของการสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการไปยังลูกค้า การตลาดอาจถูกตีความว่าเป็นศิลปะแห่งการขายสินค้าในบางครั้ง แต่การขายนั้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของการตลาดการตลาดอาจถูกมองว่าเป็นหน้าที่ขององค์การและกลุ่มกระบวนการเพื่อการผลิต การส่งสินค้าและการสื่อสารคุณค่าไปยังลูกค้า และการจัดการความสัมพันธ์ต่อลูกค้า ในทางที่เป็นประโยชน์แก่องค์การและผู้ถือหุ้น การจัดการการตลาดเป็นศิลปะของการเลือกตลาดเป้าหมาย ตลอดจนการได้มาและการรักษาลูกค้า ผ่านทางการจัดหาคุณค่าของลูกค้าที่เหนือกว่า


 การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษElectronic commerce) หรือ อีคอมเมิร์                            
 (e-Commerce) [1] หรือ พาณิชยกรรมออนไลน์ หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถกระทำผ่าน โทรศัพท์เคลื่อนที่ การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การโฆษณาในอินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งซื้อขายออนไลน์ โดยมี

       วัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทของความสำคัญขององค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้าเป็นต้น ดังนั้นจึงลดข้อจำกัดของระยะทางและเวลา ในการทำธุรกรรมลงได้



เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ปัจจุบันคงจะไม่มีใครบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ E-Commerce มาเลยบางท่านที่เคยได้ยินแต่ไม่ได้สนใจถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว อันที่จริง ท่านผู้รู้ได้กล่าวว่าในอนาคต
E-Commerceจะเข้ามาพลิกโฉมทางการค้าและเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา และห้างสรรพสินค้าอาจจะไม่มีความจำเป็นแล้วเพราะต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่จะหันมาใช้ห้างสรรพสินค้า    
E-Commerce ซึ่งกำลังเป็นที่ตื่นตัวกันอย่างมากในสหรัฐอเมริกา



   


มวยไทยตำนานสมบัติบัญชาเมฆมีชื่อเล่นว่า " บัวขาว " ลงนามในสัญญากับ mma มวยไทยและโปรโมชั่น " ฟีนิกซ์สู้แชมเปียนชิพ " เพื่อสู้ในเดือนธันวาคมนี้ที่ฟีนิกซ์เข็มขัดในเบรุต
บัวขาวเป็นหลายมวยไทยและ k-1 แชมป์ข้ามองค์กรที่แตกต่างกันและเขาก็คือต้องพิจารณากันอย่างแพร่หลายในหมู่นักกีฬากีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาและที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันมวยไทยไฟท์เตอร์ทั่วโลก  เช้าอาทิตย์นี้ฟินิกซ์ประธาน / ceo chahe yerevanian ทวีตว่าการส่งเสริมการขายเพื่อตามหาสัญญาณบัวขาวสำหรับฟินิกซ์ 1 และเจ้าหน้าที่จากการโปรโมทกำลังมุ่งหน้าไปประเทศไทยที่จะทำให้เรื่องใหญ่เป็นความจริง, และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น!
Vp louai kiblawi และ coo saad ใกล้เสร็จเซิร์กที่จัดการกับการจัดการของบัวขาวก่อนอาทิตย์นี้ในกรุงเทพฯ, ประเทศไทย การเจรจาที่นำไปสู่ข้อตกลงเพื่อนำบัวขาวสำหรับครั้งแรกที่ตะวันออกกลางที่จะต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากนะ บัวขาวของผู้ถูกกำหนดและฟีนิกซ์เจ้าหน้าที่จะ reaveal ชื่อของเขาเร็วๆนี้ มันกำลังจะเป็นมวยไทยสู้นะ
ฟีนิกซ์เจ้าหน้าที่แสดงความสนใจเห็นบัวขาวกำลังเปิดตัว mma ของเขาอยู่ในโปรโมท
ฟีนิกซ์มีการต่อสู้เจ๋งๆสำหรับบัตรที่แสดงในเดือนธันวาคม!!!



ด้วยสำนึกแห่งบ้านเกิด
จักชูเชิด "มวยไทย" ให้สง่า
เคารพกราบ "ครูมวย" ด้วยวิญญา
เทิดบูชา ทศทิศ ศิษย์มี "ครู"

บัวขาว บัญชาเมฆ นำร่ายรำไหว้ครูมวยไทย ณ เบื้องหน้าครูอาวุโส จ.สุรินทร์กว่า 20 ท่าน ในพิธีไหว้ครูมวยไทยสุรินทร์ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ณ ปราสาทศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ปิดกรรมปิดท้ายของโครงการ สมาธิมวยไทยสู่มวยโลก ครั้งที่ 3 โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ ค่ายมวยบัญชาเมฆ

ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการมวยจังหวัดสุรินทร์ ที่ต้องจดจำไปอีกนาน..ต่อไป...


แผ่นศิลาทับหลังของปราสาทศีขรภูมิ
ที่ได้รับการยกย่องว่า "งดงามที่สุดในประเทศไทย"
มีชื่อเรียกว่า "ศิวนาฏราช" หรือการร่ายรำของพระศิวะ 
สังเกตดูท่วงท่าของพระศิวะในภาพที่มี ๑๐ กร กำลังร่ายรำ
มีเทพทั้ง ๔ บรรเลงเพลงอยู่ด้านล่างของพระศิวะ

                            
ส่วนบนพื้นเวที
บัวขาว บัญชาเมฆ กำลังร่ายรำ 
นางอัปสรา กำลังร่ายรำ
เปรียบประดุจดังนายทวารบาลและนางอัปสรา
ล่องลอยออกมาจากกรอบประตูทั้งสอง
เป็นการบวงสรวงเทพเจ้าที่มีคนหลายร้อยล้านคนนับถือ


ในยุคปัจจุบันเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของใครหลายๆคนไปแล้วทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีและอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงระบบเครือข่ายสัญญาณต่างๆ ทำให้การติดต่อสื่อสารทำได้ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก               

 แนวโน้มการใช้งาน E-Commerce ในปัจจุบัน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก อันเนื่องมาจากการที่ธุรกิจ E-Commerce สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง และรวดเร็ว รวมถึงเวลาในการทำธุรกิจที่ไม่มีวันหยุด  ทำให้การทำธุรกิจ               E-Commerce เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น




วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สินค้าโอทอปในชุมชนของฉัน

ข้าวซ้อมมือปลอดสารผลิตภณฑ์ของกลุ่มเกษตรกรบ้านคุุ้ม

ณ บ้านคุ้ม หมู่ท ี่4 . โคกสว่าง อ. สำโรง จ.อุบลราชธานี กลุ่มเกษตรกรผลิตข้าวซ้อมมือบ้าน คุ้ม ได้รวบรวมสมาชิก 9 คน เพือแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวซ้อมมือ ซึ่งข้าวซ้อมมือของที่นี่ ปลอดภัย ไมมีสารพิษปลอมปน เนื่องจากกลุ่มสมาชิกผู้ปลกขาวไมมีการใช้สารเคมีแม้แต่น้อย จะมีใช้บ้างก็เฉพาะแต่ปุ๋ยเคมีเพียงเล็กน้อย ข้าวที่ได้จึงเป็นข้าวปลอดภัย และผ่านการรับรอง มาตรฐาน GAP จากกรมวิชาการเกษตรทุกเม็ลด นำมาตำด้วยครก ได้เป็นข้าวซ้อมมือจัดจำหน่ายกันเพียงถุงละ 35-­60 บาท บาท/กิโลกรัม

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ความสุขในหน้าฝนของฉัน


      ถ้าเพื่อนๆ คนไหนขี้เกียจนอนอยู่บ้าน อยากออกทริปสนุกๆ แต่ไม่รู้ว่า หน้าฝนแบบนี้จะไปไหนดี? Travel.MThai มี 5 สถานที่ท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน มาฝากกันค่ะ ซึ่งการท่องเที่ยวหน้าฝนแบบนี้ เราสามารถสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด ได้ชมความงามของดอกไม้ ต้นไม้ที่ผลิบานหน้าฝน รับรองว่าทริปหน้าฝนนี้ประทับใจแน่นอน ^^
              เที่ยวไหนดี? แนะนำ 5 สถานที่ท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน




น้ำตกทีลอซู : อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก

หรือภาษากะเหรี่ยงแปลว่า น้ำตกดำ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และจะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน ระหว่าง 1 มิ.ย. – 31 พ.ย. ปริมาณน้ำฝนที่มากจะเพิ่มปริมาณน้ำในลำธารทำให้สายน้ำตกกว้างใหญ่กว่าฤดูอื่น (แต่ก็ต้องระวังเรื่องการเดินทางด้วยรถยนต์) มีจุดเด่นคือ “รุ้งกินน้ำ” โดยจะปรากฏให้เห็นช่วง 10 โมงเท่านั้น ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร

น้ำตกทีลอซู มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ มากถึง 97 ชั้น มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชีย






สิ่งที่น่าสนใจ

ก่อนที่เราจะเดินทางขึ้นไปยังจุดมุ่งหมาย ก็คือ น้ำตกทีลอซู ระหว่างทางเราจะผ่านเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 1.5 กม. ผ่านป่าไผ่และป่าเบญจพรรณ มีดอกกระเจียวขึ้นตามพื้นป่าระหว่างทางมีป้ายสื่อความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติและพืชพันธุ์ตามจุดต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา, ผ่านน้ำตกสายรุ่ง น้ำตกขนาดเล็ก สูงประมาณ 10 เมตร , ผ่านบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งเราสามารถนั่งแช่กันได้ และผ่าน ผ่าผึ้ง เป็นบริเวณที่มีผึ่งอยู่เป็นจำนวนมาก ชมความงามของธรรมชาติกันอย่างใกล้ชิด

การเดินทาง

โดยรถยนต์ จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-แม่สอด ถึงหลักกิโลเมตรที่ 161 มีทางแยกซ้ายที่บ้านแม่กลองใหม่ไปด่านเดลอ หรือจุดตรวจ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง” เป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร จากนั้นเดินทางไปตามถนนลูกรังอีก 26 กิโลเมตร ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 3 ชั่วโมง เส้นทางช่วงนี้เป็นทางดิน ควรใช้รถปิคอัพ หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่ช่วงล่างมีความสูงมากพอสมควร ในฤดูฝนรถอาจเข้าไม่ได้ และจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร จึงถึงตัวน้ำตกทีลอซู

สอบถามรายละเอียดได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โทร. 0 5550 0919-20 และที่ทำการชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์อุ้มผาง โทร. 0 5556 1338






       อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว : อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศไทยอุทยานแห่งนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว เริ่มจากเดินเข้าอุทยานกว่าจะถึงยอดภูสอยดาวนั้นเราจะต้องออกเดินป่า แอดเวนเจอร์กันหน่อย โดยผ่านเนินส่งญาติ, เนินปราบเซียน เป็นที่สองต่อจากเนินส่งญาติ ระดับความสูง 780 เมตร, เนินป่าต่อ, เนินเสือโคร่ง และ เนินมรณะ เนินสุดท้ายก่อนถึงยอดภูสอยดาว ระดับความสูง 1410 เมตร


น้ำตกภูสอยดาว : อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติ มีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีชื่อไว้อย่างไพเราะว่า ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ มีน้ำไหลตลอดปี

น้ำตกสายทิพย์ : เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มี 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5-10 เมตร สภาพป่าโดยรอบน้ำตกมีความชุ่มชื้นมาก จึงมีมอสส์สีเขียวขึ้นปกคลุมทั่วไปตามก้อนหินริมน้ำ



ทุ่งดอกหงอนนาค : ในอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวผลิบานเต็มุท่งเฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น รอรับนักท่องเที่ยวที่ได้ปีนป่ายขึ้นมาเยือน โดยดอกหงอนนาคจะมีทั้งสีม่วงอ่อนหรือม่วงน้ำเงิน สีขาว และสีชมพู ค่อนข้างหายาก ยามเช้าดอกหงอนนาคจะหุบดอก และจะบานเมื่อมีแสงแดด ส่วนกลางของดอกมักมีหยดน้ำติดอยู่ เป็นที่มาของชื่อน้ำค้างกลางเที่ยง ซึ่งทุ่งดอกหงอนนาคที่ภูสอยดาวแห่งนี้ เป็นทุ่งดอกหงอนนาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนี้ก็จะมี ดอกสร้อยสุวรรณา และดอกหญ้ารากหอม ในฤดูหนาวจะมีดอกกระดุมเงิน, กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ และต้นเมเปิลซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามมาก



ลานสนสามใบภูสอยดาว : เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติเป็นที่ราบบนเทือกเขาภูสอยดาว มีพื้นที่ประมาณ 1,000 กว่าไร่ ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,633 เมตร สภาพพื้นที่ของลานสนสามใบจะเป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป

การเดินทางไปเที่ยวลานสนสามใบภูสอยดาว ต้องเดินทางเท้าจากน้ำตกภูสอยดาวริมเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1268 ขึ้นสู่ยอดภูสอยดาวระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-6 ชั่วโมง มีถนนลาดยาง เข้าถึงพื้นที่ทำให้สะดวกสบายในการเดินทางพักผ่อนหย่อนใจ และมีอากาศเย็นสบายตลอดปี บนยอดเป็นลานสนและมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์และตั้งแคมป์


การเดินทาง

การเดินทางด้วยรถยนต์สามารถไปได้ 2 เส้นทางคือ

โดยรถยนต์  จากจังหวัดพิษณุโลก ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1246 ถึงบ้านแพะแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1143 ผ่านอำเภอชาติตระการแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1237 ผ่านบ้านบ่อภาคไปบรรจบกับเส้นทางแผ่นดินหมายเลข 1268 ถึงน้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว รวมระยะทางประมาณ 188 กิโลเมตร[3]
      สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ ระยะทางประมาณ 133 กม. โดยใช้เส้นทาง อุตรดิตถ์-น้ำปาด (ทางหลวงหมายเลข 1047) ออกจากจังหวัดอุตรดิตถ์ พอถึง อ.น้ำปาดให้เลี้ยวรถเข้าไปใช้ ทางหลวงจังหวัด หมายเลข 1239 แล้วขับรถไปอีกประมาณ 46 กม. แล้วจึงเลี้ยวรถเข้าไปใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1268 ขับรถไปประมาณ 19 กิโลเมตรก็จะถึง อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ททท. สำนักงานแพร่ (เขตรับผิดชอบ อุตรดิตถ์, แพร่, น่าน) 
โทร. 0 5452 1127



                                             ภูทับเบิก : จังหวัดเพชรบูรณ์

เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร อยู่ตำบลวังบาล ห่างจากอำเภอหล่มสักและหล่มเก่าประมาณ 40 กิโลเมตร มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี และเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านภูทับเบิก




ภายในบริเวณจะมี ไร่กะหล่ำปลี ที่สวยงาม ตั้งอยู่เลยจุดชมวิวไม้กางเขน โดยชาวไทยภูเขาเผ่าม้งจะทำอาชีพทำการเกษตรแบบขั้นบันไดตามเชิงเขา กะหล่ำปลีจะมีให้ชมเยอะช่วงเดือนกรกฏาค
พฤศจิกายน ส่วนหน้าหนาวมีดอกนางพญาเสือโคร่งบานเต็มภูทับเบิก



นอกจานี้ยังมี ร้านค้าชุมชน ร้านขายของที่ระลึก, ที่พักสไตล์รีสอร์ทและโฮมเตย์ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกพักตามสะดวก เช่น ไร่ภูทะเลหมอกทับเบิก และ ภูทะเลหมอกโฮมสเตย์ ตั้งอยู๋ใกล้ใกล้กับไร่กะหล่ำปลี ส่วน ไร่ริมผา ที่พักแนะนำใกล้จุดชมวิวทะเลหมอกสูงสุด

จุดสูงสุดชมทะเลหมอก : จะมีลานกางเต็นท์ ใกล้กับบริเวณหอวัดอุณหภูมิ ซึ่งเป็นจุดชมวิวสูงสุดของภูทับเบิก

พิกัด GPS : 16.896719, 101.106135

ที่อยู่ : 2331 ตำบล วังบาล อำเภอ หล่มเก่า เพชรบูรณ์ 42120


                                        ทุ่งแสลงหลวง : จังหวัดพิษณุโลก

หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย” เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ถือเป็นแหล่งผืนป่าสะวันนาแห่งเดียวของภาคเหนือที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ พร้อมด้วยความแตกต่างแห่งพืชพรรณที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก

พื้นที่อุทยานตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่าง จ.พิษณุโลกและ จ.เพชรบูรณ์ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ หนองแม่นา ประมาณ 25 กิโลเมตร มีพื้นที่เป็นที่โล่งกว้างใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 16 ตรกม. ตามเส้นทางจะตัดผ่านป่าเบญจพรรณจะพบสัตว์ป่าออกมาหากินตามข้างทาง และมีพันธุ์ไม้ดอกมากมาย นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้าแบบสะวันนาสลับกับป่าสนสองใบ คือทุ่งหญ้าเมืองเลนและทุ่งโนนสน

สิ่งที่น่าสนใจ อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีพื้นที่ที่น่าท่องเที่ยวมากมายให้เราได้เลือกทำกัน ไม่ว่าจะเป็น

น้ำตกแก่งโสภา นักท่องเที่ยวสามารถชมความงามได้จากทางด้านบนของตัวน้ำตก
ทุ่งโนนสน ทุ่งหญ้าแบบสะวันนาสลับกับป่าสนเขา ตั้งอยู่ใจกลางอุทยาน
ทุ่งนางพญา เป็นทุ่งหญ้าแบบสะวันนา มีพื้นที่ ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร เหมาะแก่การนั่งรถชมวิว และตั้งค่ายพักแรม
แก่งวังน้ำเย็น
น้ำตกซอนโสม
ถ้ำเดือน-ดาว ถ้ำพระวังแดง และถ้ำค้างคาว
ปั่นจักรยานเสือภูเขา
ชมดอกเอื้องพิสมร  เป็นดอกไม้บานในหน้าฝนเท่านั้น




ล่องแก่งหินเพิง : จังหวัดปราจีนบุรี

แก่งหินเพิง เป็นแก่งหินตอนปลายสุดของแม่น้ำใสใหญ่ ซึ่งมีลักษณะทางธรณีวิทยา เป็นชั้นหินทราย ครั้นเมื่อถึงฤดูฝน กระแสน้ำจะไหลหลากอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดเกาะแก่งต่างๆ มากมาย แก่งหินเพิงเป็นที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายกับสายน้ำอันเชี่ยวกราก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม กระแสน้ำบริเวณแก่งหินเพิงจะไหลรุนแรงมาก การล่องแก่งที่นี่ใช้แพยางนั่งได้ประมาณ 8-10 คน ล่องในลำน้ำใสใหญ่ สภาพแก่งน้ำอยู่ในระดับ 3 -5 
นักล่องแก่งจะต้องใช้ทักษะและความชำนาญในการพายสูง



แก่งทั้ง 6 จะมีระดับที่ท้าทายแตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่

แก่งหินเพิง เป็นจุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง ลักษณะหินของแก่งหินเพิง เป็นแก่งยาวประมาณ 150 เมตร ในช่วงฤดูฝน เป็นสุดยอดของการล่องแก่ง ทริปนี้
แก่งผักหนามล้อม มีลักษณะเป็นวังน้ำขนาดใหญ่กระแสไหลวนไปมา
แก่งวังบอน เป็นแก่งหินสั้นๆ ยาวประมาณ 30 เมตร กระแสน้ำจะไหล ลาดเอียงลงมาประมาณ 30 องศาผ่านชั้นหินและเกาะต่างๆ จากนั้นน้ำจะไหล เอื่อยๆ ลงมายังแก่งลูกเสือ
แก่งลูกเสือ มีลักษณะเป็นแก่งน้ำเล็กๆ มีร่องน้ำสามารถพายเรือยางผ่านไปได้ แต่ต้องระมัดระวังอันตรายจากกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา
แก่งวังไทร มีลักษณะเป็นแก่งหินกว้างประมาณ 50-60 เมตร ยาวประมาณ 150 เมตร ความกว้างของแก่งพอๆ กับแก่งลูกเสือ มีความลาดชันประมาณ 30 องศา กระแสน้ำจะไหลผ่านเกาะแก่งต่างๆ แล้วม้วนตัวเป็นวงคลื่น ต้องใช้ ทักษะความชำนาญในการพายเรือค่อนข้างสูง
แก่งงูเห่า ตั้งอยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าที่ ขญ.9 ถ้าปริมาณน้ำไม่มากนัก จะแลเห็นเกาะแก่งต่างๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ถ้าอยู่ในช่วงฤดูฝน กระแสน้ำ จะไหลท่วมเกาะแก่งต่างๆ จนมีลักษณะคล้ายกับฝายกั้นน้ำ
การล่องแก่งหินเพิง ส่วนมากจะมาขึ้นฝั่งกันบริเวณแก่งวังไทร เพราะมีห้องสุขา และห้องอาบน้ำไว้บริการนักล่องแก่ง หรืออยากจะพักผ่อนนั่งรับประทาน อาหารกลางวันที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ก็ได้ เป็นอันสิ้นสุดการผจญภัยในแก่งหินเพิง

http://travel.mthai.com/blog/138104.html?platform=hootsuite